ทะเลบัวแดง หนองหานกุมภวาปี เขื่อน พื้นที่อนุรักษ์ ทะเลสาบ ทุ่งดอกไม้ |
|||
อุดรธานี น้ำตกจากสันภูพาน...........อุทยานแห่งธรรมะ อารยธรรมห้าพันปี...........ธานีผ้าหมี่ขิด แดนเนรมิตหนองประจักษ์............เลิศลักษณ์กล้วยไม้หอมอุดรชันไฌน์ |
|||
ข้อมูลทั่วไป |
|||
จังหวัดอุดรธานีเป็นจังหวัดใหญ่ที่เป็นศูนย์กลางการคมนาคมและการท่องเที่ยวของภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยในปัจจุบัน มีความสำคัญอย่างยิ่งในทางประวัติศาสตร์ เนื่องจากเป็นที่ตั้งของแหล่งอารยธรรมบ้านเชียง ซึ่งเป็นร่องรอยของอารยธรรมมนุษย์ที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก นอกจากนี้ อุดรธานียังมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติหลายแห่ง มีการทำหัตถกรรมที่น่าสนใจต่างๆ เช่น ผ้าขิด ชุมชนพื้นบ้านมีวิถีชีวิตที่เรียบง่ายมีเสน่ห์ตามแบบฉบับชุมชนไทยอีสาน ในเมืองและตามสถานที่ต่างๆ มีโรงแรมที่พักมากมาย และการคมนาคมสะดวกสบาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีสนามบิน อุดรธานีจึงเป็นอีกเมืองหนึ่งที่นักเดินทางไม่ควรพลาดมาเยี่ยมเยือน จังหวัดอุดรธานีมีเนื้อที่ประมาณ 11,730 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 7.33 ล้านไร่ เป็นจังหวัดที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 11 ของประเทศ ลักษณะภูมิประเทศโดยทั่วไปเป็นที่ราบสูง ประกอบด้วยทุ่งนา ป่าไม้ และภูเขา พื้นที่เอียงลาดลงสู่แม่น้ำโขงทางจังหวัดหนองคาย ทางทิศตะวันตกมีภูเขาและป่าติดต่อกันเป็นแนวยาว มีทิวเขาสำคัญคือทิวเขาภูพาน ทอดเป็นแนวยาวตั้งแต่ตอนเหนือสุดจนถึงทางใต้สุด จังหวัดอุดรธานีมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน จากหลักฐานทางโบราณคดีที่ค้นพบแสดงให้เห็นว่าบริเวณที่เป็นจังหวัดอุดรธานีในปัจจุบันนี้ เคยมีชุมชนมนุษย์อยู่อาศัยมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ หรือราว 5,000-7,000 ปีมาแล้ว เป็นชุมชนโบราณที่มีอารยธรรมความเจริญในระดับสูง สันนิษฐานว่าเครื่องปั้นดินเผาสีลายเส้นที่พบที่บ้านเชียงนั้น อาจเป็นเครื่องปั้นดินเผาสีลายเส้นที่เก่าแก่ที่สุดของโลก บริเวณนี้มีชุมชนอาศัยอยู่ต่อมา แต่เป็นเพียงชุมชนเล็กๆ ที่ไม่มีบทบาทในทางประวัติศาสตร์แต่อย่างใด จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2428 สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคมและเจ้าหมื่นไวยวรนาถ ยกทัพไปปราบปรามพวกฮ่อในมณฑลลาวพวนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ที่รวมตัวกันก่อการร้าย กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม แม่ทัพใหญ่ฝ่ายใต้ ได้นำทัพผ่านมายังบริเวณซึ่งเป็นที่ตั้งของจังหวัดอุดรธานีปัจจุบันนี้ และไปทำการปราบปรามพวกฮ่อจนสงบ ซึ่งในขณะนั้นชุมชนเดิมของอุดรธานียังเป็นเพียงหมู่บ้านเล็กๆ ชื่อ “บ้านหมากแข้ง” หรือ “บ้านเดื่อหมากแข้ง” อยู่ภายใต้การปกครองของเมืองหนองคายซึ่งขึ้นอยู่กับมณฑลลาวพวน ต่อมาเกิดกรณีพิพาท ร.ศ. 112 (พ.ศ. 2436) ระหว่างไทยกับฝรั่งเศส และไทยเสียดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงให้แก่ฝรั่งเศส ตามสนธิสัญญามีเงื่อนไขห้ามประเทศสยามตั้งกองทหารและป้อมปราการในรัศมี 25 กิโลเมตรจากฝั่งแม่น้ำโขง กองกำลังทหารไทยที่ตั้งประจำอยู่ที่เมืองหนองคาย ซึ่งมีกรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคมเป็นข้าหลวงใหญ่สำเร็จราชการ จึงต้องเคลื่อนย้ายถอยร่นมาจนถึงบ้านเดื่อหมากแข้ง แล้วกรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคมก็ตั้งศูนย์มณฑลลาวพวนและกองทหารขึ้นใหม่ ณ หมู่บ้านแห่งนี้ ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้ง “มณฑลอุดร” ขึ้นที่บ้านหมากแข้ง จนกระทั่งได้มีการปรับปรุงระเบียบการบริหารราชการแผ่นดิน ยกเลิกการปกครองในระบบมณฑลเทศาภิบาล มณฑลอุดรจึงถูกยุบเลิกไป และเปลี่ยนเป็น “จังหวัดอุดรธานี" นับแต่นั้นมา ปัจจุบันจังหวัดอุดรธานีแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 18 อำเภอ 2 กิ่งอำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองอุดรธานี อำเภอหนองวัวซอ อำเภอหนองหาน อำเภอบ้านผือ อำเภอบ้านดุง อำเภอกุมภวาปี อำเภอโนนสะอาด อำเภอเพ็ญ อำเภอน้ำโสม อำเภอกุดจับ อำเภอศรีธาตุ อำเภอวังสามหมอ อำเภอทุ่งฝน อำเภอสร้างคอม อำเภอไชยวาน อำเภอหนองแสง อำเภอนายูง อำเภอพิบูลย์รักษ์ กิ่งอำเภอกู่แก้ว และกิ่งอำเภอประจักษ์ศิลปาคม |
|||
สถานที่ท่องเที่ยว | |||
จังหวัดอุดรธานีมีแหล่งท่องเที่ยวสำคัญที่มีชื่อเสียงมากมายและหลากหลายรูปแบบ เช่น พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บ้านเชียง อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระ พระพุทธบาทบัวบาน สวนกล้วยไม้หอมอุดรซันไฌน์ ฯลฯ | |||
ที่เที่ยว สุดสโลว์ไลฟ์ สไตล์ อุดรธานี ... | |||
ทะเลบัวแดง หนองหานกุมภวาปี เขื่อน พื้นที่อนุรักษ์ ทะเลสาบ ทุ่งดอกไม้ รายละเอียดสถานที่ท่องเที่ยว อยู่ใกล้วัดบ้านเดียม หมู่ที่ 5 ตำบลเชียงแหว เป็นแหล่งน้ำธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ มีพื้นที่กว่า 32 ตารางกิโลเมตรประกอบไปด้วยพันธุ์ปลา นก และพืชน้ำจำนวนมาก มีระบบนิเวศน์ ที่เป็นเอกลักษณ์ซึ่งเป็นที่สนใจของนักวิชาการทั้งในประเทศและต่างประเทศได้มาศึกษาค้นคว้าอย่างต่อเนื่องในช่วงเดือนตุลาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี ดอกบัวแดงในหนองหานจะงอกจากน้ำ แตกใบ และเริ่มออกดอกตูมและบาน โดยในเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์ เป็นช่วงที่สวยงามที่สุด นักท่องเที่ยวสามารถชมความงามของดอกบัวแดงได้ตั้งแต่เวลา 06.00-10.00 น. มีเรือรับจ้างบริการพาชม ค่าเช่าเรือ 300-500 บาท สามารถนั่งได้ 5-10 คน สอบถามข้อมูลได้ที่กลุ่มเรือบริการท่องเที่ยว โทร. 08 9395 0871 |
|||
ขอบคุณภาพจาก : https://thailandtourismdirectory.go.th |
พระธาตุดอนแก้ว สถานที่เกี่ยวกับศาสนา-ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ รายละเอียดสถานที่ท่องเที่ยว |
||
ประวัติความเป็นมา ดอนแก้ว เป็นเกาะเล็กๆ กลางหนองหานน้อยกุมภวาปี ซึ่งเป็นต้นกำเนิดแม่น้ำลำปาว ตำนานเล่าว่า พระอรหันต์กลุ่มหนึ่งจะไปนมัสการพระธาตุพรม ได้มาพักแรมที่ดอนแก้ว พระอรหันต์องค์หนึ่งอาพาธหนักถึงนิพพาน พระอรหันต์ทั้งหลายที่เหลืออยู่จึงถวายเพลิงท่าน และก่อเจดีย์บรรจุพระธาตุไว้ ต่อมาประมาณ พ.ศ. 11 มีกลุ่มคนเข้ามาในดอนแก้วแล้วสร้างใบเสมาหินทรายล้อมรอบพระธาตุไว้ และปักรายรอบบริเวณดอนแก้ว จากการศึกษาพบว่าเป็นเสมาสมัยทวารวดี ต่อมาชุมชนลาวได้อพยพจากเมืองร้อยเอ็ด เมืองชัยภูมิ เข้ามาตั้งถิ่นฐานที่ดอนแก้ว มีท้าวชินเป็นหัวหน้าชุมชน ได้ปฏิสังขรณ์พระธาตุเจดีย์ขึ้น (จากจารึกที่ฐานพระธาตุเป็นตัวลาวโบราณ) บอกว่าบูรณะเสร็จสิ้นปี พ.ศ.2441 ประมาณ ปี พ.ศ.2471 มีชุมชนหลายกลุ่มเข้ามาอยู่ในดอนแก้ว ส่วนใหญ่เป็นลางเวียง จึงได้สร้างวัดเพื่อประกอบพิธีกรรมทางศาสนาขึ้นที่ดอนแก้วให้ชื่อว่า"วัดมหาธาตุเจดีย์ พ.ศ. 2513 พระครูสังฆรักษ์ (ชน) เจ้าอาวาส ร่วมมือกับชาวบ้านดอนแก้วปฏิสังขรณ์พระธาตุให้แข็งแรงกว่าเดิม จากการศึกษาของนักโบราณคดีมหาวิทยาลัยศิลปากรพบว่า อายุของพระธาตุเจดีย์มีอายุไม่ต่ำกว่า 1,500ปี และเสมาที่ปักรายรอบมีอายุประมาณ พ.ศ.11 ลักษณะทั่วไป ดอนแก้วมีพื้นที่ลักษณะกลม มีคูน้ำล้อมรอบ ภายในเกาะเป็นที่ดอนสูงๆต่ำๆ ใช้ทำการเกษตรไม่ได้ ชาวบ้านมาอยู่อาศัยบริเวณชายน้ำริมเกาะ |
|||
หลักฐานที่พบ พบเสมาหินทรายสมัยทวารวดี บางทีมีภาพจำหลักมีจารึกที่ลบเลือนอ่านไม่ออก เสมาหินทรายปักรอบพระมหาธาตุเจดีย์ และอีกส่วนปักห่างจากพระมหาธาตุเจดีย์ไปประมาณ 500 เมตร พบพระพุทธรูปหินทรายแดง และพระพุทธรูปสำริด ฝีมือช่างพื้นบ้านพระธาตุเจดีย์ เป็นเจดีย์ทรงเหลี่ยม ตั้งอยู่บนฐานศิลาแลง 2ชิ้น ชั้นแรกกว้างด้านละ 14 ม. สูง 1.25 ม. มีทางขึ้นลงด้านทิศตะวันออก และทิศตะวันตะวันตก ชั้นที่ 2 กว้างยาวด้านละ 10 ม. สูง1.50 ม. มีทางขึ้นลง 4 ด้าน และฐานขั้นนี้เป็นลานประทักษิณเจดีย์องค์พระธาตุก่อด้วยอิฐถือปูน ก่อจากฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัสมีประติมากรรมปูนปั้นรูปกลีบบัวหงายประดับที่มุมทั้ง 4 และ มีประติมากรรมนูนต่ำ ภาพพระพุทธเจ้าพระสาวก เทวดา และบุคคล ประดับโดยรอบเรือนธาตุเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสซ้อนกัน 3ชั้น สูงขึ้นไปตามลำดับ โดยมีบัวคว่ำ บัวหงาย และบัวลูกแก้วคั่น เป็นลักษณะสถาปัตยกรรมล้านช้าง คล้ายธาตุไม้ของอิสาน เป็นการรับอิทธิพลพระธาตุหลวงเวียงจันทน์ ยอดธาตุเป็นปลีเล็กเรียวแหลมขึ้นไป พบใบเสมาหินทราย บางหลักเป็นรูปสี่เหลี่ยมแบน บางหลักกลมใหญ่ บางหลักกลมเฉพาะตอนต่ำจากฐาน ตอนเหนือฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยมหนา ยาวขึ้นไปกว่า 3 เมตร หลักหนึ่งมีภาพจำหลักเป็นฐานกลีบบัว เหนือกลีบบัวเป็นรูปคล้ายช้างคู่คู่หนึ่ง ถวายความเคารพเทวรูปสตรีที่ประทับกึ่งกลาง แสดงปางพระพุทธเจ้าประสูติหลักหนึ่งมีจารึกที่ลบเลือนอ่านไม่ออก เสมาหลายหลักปรักหักพัง |
|||
พระพุทธบาทบัวบาน สถานที่เกี่ยวกับศาสนา / รายละเอียดสถานที่ท่องเที่ยว |
|||
ประวัติความเป็นมา >> จากการศึกษากลุ่มเสมา และการจำหลักภาพขนาดของเสมา จำนวนเสมา น่าจะเป็นชุมชนขนาดใหญ่ มีความอุดมสมบูรณ์จึงสามารถสร้างศิลปกรรม ประติมากรรมหินทรายขนาดใหญ่และงดงามได้ สภาพของชุมชนคงจะได้ร้างไป ต่อมาชุมชนลาวล้านช้างในสมัยที่สมเด็จพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชหนีศึกพม่า พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง ได้เข้ามาตั้งชุมชนที่นี่ จึงมีศิลปกรรม สถาปัตยกรรมล้านช้างมากมาย เช่น มณฑปครอบรอยพระพุทธบาท พระพุทธรูปไม้ ฯลฯ และคงจะสร้างไป จนเมื่อเกิดศึกฮ่อ พวกลาวพวนจึงได้อพยพหนีศึกฮ่อมาตั้งชุมชนใหม่ สภาพชุมชนสมัยนั้นเป็นป่าดงดิบแล้ง มีไม้ที่มีค่าหนาแน่น เช่น ไม้มะค่า ไม้ตะเคียน ตะเคียนทอง ประดู่ ฯลฯ ลักษณะทั่วไป >> เป็นป่า มีเส้นทางทำการเกษตรของชาวบ้าน และขนพืชไร่ ผ่านใกล้กลุ่มเสมามาก หลักฐานที่พบ >> พบกลุ่มเสมาหินทราย จำหลักภาพบุคคลในลักษณะต่าง ๆ ปักเป็น 8 ทิศ ปักซ้อนกัน 2 หลัก บางหลักถูกทำให้ล้ม หลายหลักถูกดินทับถม มีจำนวนทั้งหมด 31 หลัก เป็นศิลปกรรมสมัยทวาราวดีตอนปลาย-ลพบุรีตอนต้น สมัยประวัติศาสตร์เส้นทางเข้าสู่แหล่งวัดพระพุทธบาทบัวบานจากจังหวัดอุดรธานีไปตามเส้นทางสาย อุดรธานี-บ้านติ้ว ระยะทาง 64 กิโลเมตร และจากบ้านติ้วไปตามเส้นทางสาย บ้านติ้ว-บ้านไผ่ล้อม ระยะทาง 14 กิโลเมตร จากนั้นเดินทางด้วยเท้า ระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร |
|||
.................... |
|||
พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ บ้านเชียง | |||
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บ้านเชียง ตั้งอยู่ที่บ้านเชียง ตำบลบ้านเชียง อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดร-ธานี อยู่ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ 55 กิโลเมตร เป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติประเภทแหล่งอนุสรณ์สถาน จัดตั้งขึ้นในแหล่งโบราณคดีบ้านเชียง อันเป็นแหล่งประวัติศาสตร์สำคัญทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย และภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ ภายในพิพิธภัณฑ์มีการจัดแสดงหลักฐานที่ได้จากการสำรวจขุดค้นที่บ้านเชียง และแหล่งโบราณคดีใกล้เคียง ประกอบด้วยภาชนะดินเผา เครื่องมือ เครื่องใช้ และสิ่งอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งผู้เข้าชมจะได้รับรู้ถึงการดำรงชีวิตของมนุษย์ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ย้อนหลังไปกว่า 5,000 ปี พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บ้านเชียง ได้แบ่งพื้นที่การจัดแสดงออกเป็น 2 ส่วน ส่วนที่ 1 ตั้งอยู่ทางด้านขวาของทางเข้า ในเขตวัดโพธิ์ศรีใน เป็นพิพิธภัณฑ์เปิดที่เป็นแหล่งโบราณคดีแห่งแรกในประเทศไทย เป็นนิทรรศการถาวร ซึ่งแสดงขั้นตอนการขุดค้นทางโบราณคดีที่ยังคงลักษณะของศิลปวัตถุที่พบตามชั้นดิน เพื่อให้ผู้เข้าชมได้ศึกษาถึงการขุดค้นทางโบราณคดี และโบราณวัตถุ โดยส่วนใหญ่เป็นภาชนะดินเผาที่ฝังรวมกับศพที่กลายมาเป็นโครงกระดูกในปัจจุบัน ส่วนที่ 2 ตั้งอยู่ทางด้านซ้ายของทางเข้า เป็นอาคารที่จัดแสดงเกี่ยวกับเรื่องราวและวัฒนธรรมของบ้านเชียงในยุคก่อนประวัติศาสตร์ ตลอดจนเครื่องมือ เครื่องใช้ ที่แสดงถึงเทคโนโลยีในยุคนั้น รวมถึงวัตถุโบราณ และนิทรรศการบ้านเชียงที่เคยจัดแสดง ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา และในส่วนนี้ยังมีห้องนิทรรศการ ห้องบรรยาย และการให้บริการด้านการศึกษาแก่ผู้ที่สนใจอีกด้วย |
|||
ขอบคุณภาพจาก : https://thailandtourismdirectory.go.th |
|||
พิพิธภัณฑ์เมืองอุดรธานี รายละเอียดสถานที่ท่องเที่ยว |
|||
จัดตั้งขึ้นในอาคารราชินูทิศ ซึ่งเป็นอาคาร 2 ชั้น รูปทรงแบบตะวันตก สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 6 พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เกิดขึ้นโดยการนำของ นายชัยพร รัตนนาคะ อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี ที่ได้รวมพลังประชาชนชาวจังหวัดอุดรธานีจัดตั้งพิพิธภัณฑ์เมืองขึ้น โดยใช้เวลาในการดำเนินการเพียง 111 วัน เปิดให้เข้าชมเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2547 ซึ่งเป็นวันคล้ายวันสถาปนาจังหวัดอุดรธานี ครบรอบ 111 ปี พิพิธภัณฑ์เมืองแห่งนี้ ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ที่ผู้มาเยือนจะได้รับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับจังหวัดอุดรธานีในแง่มุมต่างๆ โดยภายในอาคารพิพิธภัณฑ์ได้แบ่งพื้นที่จัดแสดงออกเป็น 2 ชั้นๆ ละ 6 ห้อง ชั้นล่างประกอบด้วย ส่วนชั้นบนประกอบด้วย วันและเวลาทำการ: วันจันทร์ – ศุกร์ ตั้งแต่เวลา 08.30 – 16.30 น. / วันเสาร์ – อาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 08.00 – 16.00 น. หยุดวันนักขัตฤกษ์ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 0 4224 5976 |
|||
วัดป่าบ้านค้อ รายละเอียด : วัดป่าบ้านค้อ ตั้งอยู่บ้านค้อ ตำบลเขือน้ำ อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี ได้ก่อตั้งขึ้นโดยการนำของ “พระอาจารย์ทูล ขิบปปญโญ” (ปัจจุบันมรณภาพแล้วเมื่อวันที่ 11 พ.ย. 2551 ) เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2528 มีเนื้อที่ 410 ไร่ ปัจจุบันมีเสนาสนะและสาธารณูปโภคเท่าที่จำเป็นต่อการอยู่อาศัยปฏิบัติธรรมสำหรับพระและฆราวาส มีเสนาสนะป่าเหมาะแก่การปลีกวิเวกของผู้ใคร่ปฏิบัติธรรม ในส่วนของการเผยแพร่พระพุทธศาสนาและการบริการชุมชน จังหวัดอุดรธานี กำหนดให้วัดป่าบ้านค้อเป็นศูนย์พัฒนาจิตเฉลิมพระเกียรติประจำจังหวัดอุดรธานี และได้เคยจัดให้มีการบรรพชาอุปสมบทอบรมกลุ่มปฏิบัติธรรมแก่ นักเรียนและประชาชนทั่วไป อีกทั้งยังมีฆราวาสทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ เข้าพักรับอุบายธรรมภาคปฏิบัติอยู่อย่างสม่ำเสมอ |
|||
|
อนุสาวรีย์ พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงประจักษ์ ศิลปาคม
ตั้งอยู่กลางเมืองอุดรธานี พลตรีพระเจ้าบรมวงศ์ เธอกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเจ้าจอมมารดา สังวาลย์ ประสูติเมื่อปีพุทธศักราช 2399 ทรง ดำรงตำแหน่งข้าหลวงต่างพระองค์ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สำเร็จราชการมณฑลฝ่ายเหนือ เรียกว่า มณฑลอุดรในสมัยต่อมา ระหว่าง ร.ศ . 112-118 ทรงเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งเมืองอุดรขึ้นเมื่อ ร.ศ 112 ทรงจัดวางระเบียบราชการ ปกครองบ้านเมืองและรับราชการ ในหน้าที่สำคัญต่าง ๆ ซึ่งอำนวย ประโยชน์สุขแก่ราษฎรนานับประการ อนุสาวรีย์พระองค์ท่าน จังนับ เป็นเกียรติ ประ วัติสูงสุดของชาวจังหวัดอุดรธานี ตราบเท่าทุกวันนี้ |
||
.......... สวนกล้วยไม้หอม อุดรซันไฌน์ |
|||
รายละเอียด : จากตัวเมืองไปราว 2 กม. ตามถนนเลี่ยงเมืองใกล้แยกไปจังหวัดหนองคาย เลี้ยวเข้าทางแยกไปหนองสำโรงใกล้กับสนามกอลฟ์มีป้ายบอกบริเวณสวนกล้วยไม้หอมอุดรซันไฌน์ ตั้งแต่เช้ามืดไปจนราวบ่ายโมงกลิ่นของกล้วยไม้จะหอมตลบอบอวล จนสามารถนำไปสกัดเป็นน้ำหอมได้ มีกล้วยไม้ และน้ำหอม จำหน่าย ที่สวนและตามร้านสินค้าพื้นเมืองอุดรธานีคุณประดิษฐ์ คำเพิ่มพูล เจ้าของ และผู้คิดค้น มีโครงการค้นคว้าทางด้าน ธรรมชาติ และการเกษตรที่น่าสนใจอีกหลายโครงการ กล้วยไม้หอมอุดรซันไฌน์ เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง ของจังหวัดอุดรธานี ที่อยู่ใกล้ตัวเมืองที่สุดจึงถือเป็นเสน่ห์ ในการดึงดูดนักท่อง เที่ยวชาวไทยและต่างประเทศให้เดินทางไปสัมผัสกับความแปลกและความสวยงามซึ่งมีอยู่เพียงแห่งเดียวในโลกนี้ก็ว่าได้ กล้วยไม้หอมอุดรซันไฌน์เป็นกล้วยไม้พันธุ์แวนด้าใบร่อง ลูกผสมระหว่างสามปอยดง และโจเซฟฟิน แวนเบอโร่ผสมได้ด้วยฝีมือของมนุษย์เมื่อปี 2520 โดยเกษตรกรสมัครเล่นชื่อนายประดิษฐ์ คำเพิ่มพูล อายุ 57 ปี อยู่บ้านเลขที่ 127 ซอยกลมพัฒนา ต.บ้านเลื่อม อ.เมือง จ.อุดรธานี กล้วยไม้หอมอุดรซันไฌน์ เริ่มให้ดอกราวปี พ.ศ.2530 เมื่อดอกออก มาจะให้กลิ่นหอมรัญจวนแบบไทย ๆ นับว่าเป็นความแปลกใหม่ที่ไม่เคยพบมาก่อน ในโลกนี้ ดอกของกล้วยไม้ชนิดนี้จะให้กลิ่นหอมตั้งแต่เช้าตรู่ไปจนกระทั่งถึงบ่ายโมงต่อมากลิ่นจะเปิด-ปิดในช่วง เวลาดังกล่าวจนกว่าดอกจะเหี่ยวแห้งไป นอกจากดอกจะให้ความหอม เป็นกรณีพิเศษแล้วยังสามารถเปลี่ยนสีได้ถึง3 สีคือ เมื่ออากาศเย็นจัดระหว่าง 10-15 องศาเซลเซียส ดอกจะเป็นสีแดงสดใสเมื่ออุณหภูมิ 15 -20 องศาเซลเซียสดอกจะเป็นสีทองถ้าอุณหภูมิสูงขึ้นมาก กว่านี้ดอกจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองสดแต่กลิ่นยังคงที่เหมือนเดิมสำหรับดอกยังมีคุณลักษณะพิเศษอีก โดยจะมีความทนนานคาต้นโดย ที่ไม่ ต้องตัดจะอยู่ได้ราว 60 วัน ถ้าตัดออกจากต้นจะอยู่ได้15 วัน แต่ถ้าอากาศเย็นจัดจะสามารถอยู่ได้ถึง 25วันส่วนกลิ่นถ้าตัดแล้วจะให้ความหอมประมาณ 10 วัน หลังจากนั้นกลิ่นจะค่อยจางหายไปเรื่อย ๆจนกว่าดอกจะแห้งในที่สุด สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 042 242475 |
|||
อยู่ในเขตเทศบาลเมืองอุดรธานี หนองประจักษ์เป็นหนองน้ำขนาดใหญ่ มีมาตั้งแต่ก่อนตั้งเมืองอุดรธานี เดิมเรียกว่า"หนองนาเกลือ" ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของตัวเมือง ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น "หนองประจักษ์" เพื่อเป็นเกียรติประวัติแก่พลตรีพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคมผู้ทรงก่อตั้งเมืองอุดรธานี ต่อมาในปี พ.ศ. 2530 เทศบาลเมืองอุดรธานี ได้ทำการปรับปรุงหนองประจักษ์ขึ้นใหม่ เพื่อถวายเป็นราชสักการะแก่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เนื่องในวโรกาสทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 5 รอบ โดยบริเวณตัวเกาะกลางน้ำได้จัดทำสวนหย่อมปลูกไม้ดอกไม้ประดับหลายชนิด และทำสะพานเชื่อมระหว่างเกาะมีน้ำพุ หอนาฬิกา และสวนเด็กเล่น แต่ละวันจะมีประชาชนเข้าไปพักผ่อนและออกกำลังกายกันเป็นจำนวนมาก |
|||
#ขอบคุณข้อมูลและภาพทั้งหมดจาก เว็ปไซด์ ททท.และ Mthai.com # |
|
||
โครงการพิเศษสำหรับสมาชิก
|
||
A K Hotels Exclusive Club | AK Hotels Privilege Club | |
|
กระบี่....... นอกจากกระบี่จะเป็นเมืองน่าอยู่ ผู้คนน่ารัก (มาก) แล้ว...
“ เกาะลันตา ” เป็นชื่อเกาะขนาดใหญ่ มีรูปร่างเรียวยาว พื้นที่ 472 ตารางกิโลเมตร...
พัทยา มีมากกว่าทะเล 4 บรรยากาศ หลากสไตล์...
สะสมคะแนน ยิ่งใช้ ยิ่งได้ ยิ่งคุ้ม ครบทุกไลฟ์สไตล์ ของการพักผ่อน รับคะแนนสะสม เมื่อใช้จ่ายผ่าน เอ เค ...................................... Travel ...................................... Voucher |